พฤศจิกายน 23, 2023

เจฟ ซาเตอร์ เปิดเส้นทางสุดทรหดกว่า 10 ปีวงการบันเทิง กว่าจะมีวันนี้เคยท้ออยากไปทำอาชีพอื่น! เมินคนบูลลี่ แต่งตัวเป็นผู้หญิง ชี้โลกเปลี่ยนไปแล้ว

ศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลงสุดฮอต เจฟ ซาเตอร์ ที่ล่าสุดเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลจากรายการเรียลลิตี้สุดฮอตในประเทศจีน ที่วันนี้จะเปิดชีวิตในวงการบันเทิงสุดทรหดกว่า 10 ปี เคยคิดออกจากวงการ แถมยังโดนบูลลี่เรื่องการแต่งตัว ผ่านทางรายการ คุยแซ่บshow ทางช่องOne31 ที่บูม สุภาพร และเป็กกี้ ศรีธัญญา เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

เจฟ ชาเตอร์ เมินคนบูลลี่ แต่งตัวเป็นผู้หญิง

เจฟ ซาเตอร์

ล่าสุด cnypharmacy.com ได้รับรางวัลที่ประเทศจีน? เจฟ : “เป็นรายการรวมศิลปินที่ไปเดบิวต์มา 20-30 ปีแล้วมารวมกลุ่มกันทำโชว์ ผมเป็นคนไทยคนเดียว แต่มีเพื่อนที่เป็นเชื้อสายจีนจาก LA ก็มาเหมือนกัน”

ทำไมเขาถึงเรียกเจฟไปร่วมเรียลลิตี้ครั้งนี้? เจฟ : “นั่นสิครับ ไม่แน่ใจว่าเขาเห็นผลงานจากทางไหน บางทีเขาอาจเห็นผลงานจากที่แฟนคลับชาวจีนเขาแชร์กัน แล้วในรายการนี้เขามีรางวัล คนที่ชนะรายการ แต่เขาจะไม่ได้แบบ 1-2-3 แต่จะเป็นวิธีการที่ได้อยู่ในครอบครัว เป็นรางวัล 2023 Singing Family คือประมาณ 17 คน ครึ่งหนึ่งของคนที่อยู่ทั้งหมด 33 คน เราก็อยู่ใน 17 คนนั้น แล้วอีกรางวัลที่ได้คือ The Hot Song Performance of The Year 2023 ก็ได้ 2 รางวัล”

ไปเรียลลิตี้นี้โดยที่ไม่รู้เลยว่าเราต้องไปทำอะไรบ้าง? เจฟ : “คือได้ยินมาว่ารายการนี้คือท็อป3 เรื่องความเหนื่อย แต่เราไปแล้ว ตอนแรกเราได้ยินว่าท็อป3 ในเรื่องความอลังการ ความยิ่งใหญ่โปรดักชั่น ตอนหลังไปได้ยินว่าท็อป3 หรืออาจจะเป็นท็อป1 ก็ได้ในความเหนื่อย บางทีนอน 3 ชั่วโมงติดๆ กันบ้าง ได้ทำอะไรที่เราไม่ได้ทำ

ซึ่งผมไม่ได้ฝึกภาษาจีนไป เพราะผมไม่รู้ว่าเราจะต้องไปอยู่ในหอ เพราะผมไม่ได้ดูคอนเทนต์รายการทั้งหมดว่าเราจะต้องไปอยู่ในหอกับเพื่อนๆ ผมไปตอนแรกก็ยากอยู่นะที่เราพูดอะไรไม่รู้เรื่องเลย แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราอยู่เงียบๆ ของเรา ปรากฏว่าโชว์แรกของเราได้สิทธิ์ตั้งทีมขึ้นมาได้ พอตั้งทีมปุ๊บก็มีลูกทีมเป็นคนจีน แล้วเวลาที่คุยกับไดเร็กเตอร์ที่จะดีไซน์โชว์ เราก็ต้องคุยเป็นภาษาจีน มันยิ่งยาก ยิ่งเหนื่อยเข้าไปอีก”

เจฟ ชาเตอร์ เมินคนบูลลี่ แต่งตัวเป็นผู้หญิง

เรามีล่ามไหม? เจฟ : “เรามีล่ามที่หู ที่แปล แต่เวลาที่เขาแปลคอนเทนต์มันไปข้างหน้าแล้ว เรายังอยู่ตรงนี้อยู่ เราจะค่อยๆ ตามเขา มันจะไปไม่ทันกัน ถามว่าไปอยู่นานแค่ไหน คือเราไปทั้งหมด 4 เดือน ไปๆ กลับๆ ก็ไปเรียนภาษาจีนเพิ่มกับคนจีนเลย เขาสอนแล้วเราจะมีโน้ตไว้จดคำศัพท์แต่ละวัน”

แต่กว่าจะสำเร็จแบบนี้ผ่านมาหลายค่ายมาก? เจฟ : “ใช่ครับ ตั้งแต่อายุ 17 ปี รวมแล้วประมาณ 11 ปีครับ ตอนนี้ผมอายุ 28 ล่ะ”

ตอนที่ไม่สำเร็จย้ายมาตั้งหลายค่าย รู้สึกเหนื่อยและท้อบ้างไหม? เจฟ : “ไม่เชิงเหนื่อย ไม่เชิงท้อนะครับ รู้สึกว่าต้องไปทำอย่างอื่นแล้ว เพราะว่าพออายุมากขึ้น เราต้องหาอะไรที่มันมั่นคงทำ ไม่งั้นมันจะกลายเป็นว่าเราเลี้ยงดูตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำ เลี้ยงดูครอบครัวไม่ต้องพูดถึงเลย เราไปทำอย่างอื่นดีกว่าไหม”

ความหวังที่จะเป็นศิลปินย้ายมาหลายค่ายแล้ว แต่ไม่ดังสักที ตอนนั้นเจฟไปทำอะไร? เจฟ : “ตอนนั้นผมทำหลายอย่าง เป็นกราฟิกให้กับบริษัทอสังหาฯ ทำพวกป้ายบิลบอร์ดที่เราเห็นเวลาเราขับรถผ่าน ตอนนั้นมีทำธุรกิจตัวเอง คิดด้วยตัวเอง ทำสมุนไพรอัดแก๊ส ผมรู้สึกว่าต้องดึงความเป็นไทยมา ก็เลยเขียนอันนี้ยื่นโครงการให้กับมหาลัยหนึ่ง แล้วเราก็ได้เงินสนับสนุนมา เราเลยได้คอนเนกชั่นเชื่อมไปเรื่อยๆ แล้วรู้จักคนที่ทำพวกส่งเสริมธุรกิจ เราเขียนโปรเจกต์มาแล้วเขาก็พาเราไปหลายที่มาก ไปเปิดบูธเมืองทอง ไปกวางโจว เมืองจีน”

ตอนนั้นธุรกิจสมุนไพรอัดแก๊ส เจฟก็รวยเป็นหมื่นล้านแล้วสิ? เจฟ : “ไม่ๆ คือเฟล ช่วงนั้นโควิดมาพอดี แต่ต่อให้มันไม่มาเราก็เฟลอยู่ดี เพราะเราประเมินผิด เราไม่มีเงินที่จะทำใหญ่โตขนาดนั้น เพราะว่าธุรกิจเครื่องดื่มมันใหญ่กว่านั้นเยอะ”

คุณแม่บอกว่าตอนเด็กๆ เราเรียนไม่เก่ง? เจฟ : “ครับ ได้เกรดดฉลี่ย 0.91”

เจฟ ชาเตอร์ เมินคนบูลลี่ แต่งตัวเป็นผู้หญิง

แต่คุณแม่สนับสนุนเรา ถึงแม้เราทำอะไรผิดพลาด? เจฟ : “แม่ชิล แม่บอกว่าจะเรียนเท่าไหร่ก็แล้วแต่เลย ส่งไปเรียนให้มันมีความทรงจำช่วงม.ปลาย เพราะบางทีการเล่นมันสำคัญกว่าการเรียน อันนี้พูดกับตัวเองนะ ปลอบใจตัวเอง แม่ผมสอนว่าเอาตัวรอดในสังคมได้ก็พอแล้ว ผมเป็นคนที่ถ้าเราเรียนอะไรที่เราไม่สนใจ ผมไม่สนใจเลย สมมติผมเรียนประวัติศาสตร์อยู่ ผมเอาหนังสือประวัติศาสตร์เรื่องอื่นไปอ่านในห้อง เพราะอยากรู้ประวัติศาสตร์เรื่องนี้มากกว่า แต่อันนี้ไม่เวิร์กสำหรับทุกคนนะมันเวิร์กสำหรับผม มันโอเคสำหรับผม แล้วเรียนอย่างนั้นจนจบเลย แล้วแม่ชิลไม่ได้ว่าอะไรเลย”

ตอนเอาเกรดไปให้คุณแม่ดู แม่ว่ายังไงบ้าง? เจฟ : “แม่ขำ แม่บอกตลกดี น่าจะได้ที่1 จากอันดับท้ายขึ้นมา”

พอเข้ามหาวิทยาลัยเราก็ปรึกษาคุณแม่อีก ไหวไหมแม่? เจฟ : “ผมพูดกับแม่ว่าผมอยากไปเรียนอย่างอื่นแล้ว ไม่อยากเรียนดนตรีแล้ว เพราะตอนนั้นเรียนดนตรีมาปีกว่าๆ ถ้าเราทำต่อไปเราจะหมดแพชชั่นกับดนตรี ผมเลยอยากย้ายไปเรียนธุรกิจดีกว่าเพราะคุณพ่อทำธุรกิจ เผื่อเราจะช่วยคุณพ่อได้ กลายเป็นว่าเราไปเรียน แต่ตอนนั้นก็เหมือนรายการจีน เราไม่รู้ว่าเขาเรียนอะไรกัน

ผมแค่รู้ว่าครูบอกมันดีนะ ไปเรียนสิการเงิน การลงทุน หารู้ไม่อันนั้นยากมากๆ ในการบริหารธุรกิจ เพราะมันเกี่ยวกับตัวเลข แล้วผมได้เกรด 0.09 ไม่รู้เรื่องเลขเลย เราเข้าไปแบบมึนๆ แต่มีความคิดหนึ่งที่รู้สึกว่า ไหนๆ เราเรียนไม่ค่อยดีตอนม.ปลาย ลองมาตั้งใจหน่อย ชาเลนจ์คิดว่ามันเป็นเกมให้มันสนุก ตอนนั้นตั้งใจเรียนมากๆ จากที่เพื่อนติวให้ ไปติวให้เพื่อน จบด้วยเกรดเฉลี่ย 3.69 มันถึงเกียรตินิยม แต่ด้วยความที่เราไปเรียนดนตรีมา เราไม่ได้รีรหัส เพราะว่าปีเกินมันเลยไม่ได้”

แล้วอยู่ๆ มาเป็นซีรีส์ที่ดังระเบิด ทั่วโลกดู เราไปแคสต์ซีรีส์นี้ได้ยังไง? เจฟ : “มีเพื่อนแชร์มาในกลุ่ม แล้วผมคิดว่ามันน่าสนุกดี ผมจะชอบความเป็นมาเฟียอยู่แล้ว ก็เลยรู้สึกว่าลองไปดูดีกว่า ตอนแรกผมไปแคสบทที่ห่างจากตัวผมมากๆ เลย บทบ้าๆ บอๆ แต่สุดท้ายตกมาจนได้บทนี้ และสุดท้ายก็อย่างที่ทุกคนเห็น คินน์พอร์ช เดอะซีรีส์”

พอเราดังแล้วคุณแม่ว่ายังไงบ้าง? เจฟ : “คุณแม่แนวชิลก็รู้อยู่แล้วว่ามันจะต้องเกิดขึ้นในสักวัน”

เจฟ ชาเตอร์ เมินคนบูลลี่ แต่งตัวเป็นผู้หญิง

พอเราไปเวิร์ลทัวร์แล้วเห็นคนที่ซัพพอร์ตเราเยอะขนาดนี้ รู้สึกยังไง? เจฟ : “ผมอยากเล่าโมเมนต์หนึ่ง เป็นโมเมนต์ที่เราเล่นที่ไทยก่อน แล้วมันเป็นฉากกั้นปิดอยู่ แล้วทุกคนก็ยืนเรียงกัน พอมันเปิดแล้วลมตีขึ้นมา พร้อมกับเสียงกรี๊ดของทุกคน มันเป็นโมเมนต์ที่ผมจำได้จนถึงทุกวันนี้เลย มันเป็นความรู้สึกซัพพอร์ตความรักที่มันท่วมท้นมากๆ ไปทุกที่มันมีความรู้สึกแบบนั้นตลอด”

ซีรีส์เรื่องนี้เขาได้บอกก่อนไหมว่าเราต้องแต่งเพลง เขียนเพลง เพราะเจฟบอกว่าเขียนเพลงนี้เอง? เจฟ : “จริงๆ ไม่ได้บอกก่อน แต่พอคุยไปเขารู้ว่าเราทำเพลง มันจะมีการแคสอีกรอบหนึ่ง เราก็เล่นเพลงให้เขาฟัง เขาก็เออ..แต่งดีกว่า ซึ่งเพลงประกอบเนี่ยเป็นเพลงประกอบซีรีส์อีกเรื่องหนึ่งที่ผมทำไว้ให้คนอื่นร้อง แต่ผมรู้สึกว่าอยากจะเก็บไว้ ผมรู้สึกว่าอาจจะไม่เหมาะกับเขา แล้วก็เขียนอีกอันหนึ่งให้เขา”

ทำให้เราโด่งดังไปเลย แต่สุดท้ายเจฟตัดสินใจออกมาเป็นอิสระอีก? เจฟ : “คือตอนนั้นผมคุยกับใครหลายคนมาก พี่ปอนด์เขาเชื่อมั่นในตัวผมมากนะ เขารู้สึกว่าเจฟทำได้ เขามองว่าผมมีความคล้ายกับเขา สนับสนุน เชื่อ ถ้าวันนี้เจฟอยากออกไปก็สนับสนุน ต่อให้ออกไปเราก็ไม่ได้ขาดกัน ยังเป็นพี่น้องที่ดี ร่วมงานกันได้ ผมก็ไปงานเขาในวันที่เขาเปิดพรีเมี่ยน เราก็ยังคุยกันตลอด ตอนนั้นที่ตัดสินใจอยากลองทำอะไรด้วยตัวเอง มันมีภาพในหัว แต่ภาพนี้มันจะเกิดขึ้นได้เมื่อเราเป็นเจ้าของสิ่งนี้ก็เลยเกิดเป็นสตูดิโอขึ้นมา”

เจฟ ชาเตอร์ เมินคนบูลลี่ แต่งตัวเป็นผู้หญิง

เจฟเคยผ่านดราม่ามา โดนดราม่าอะไร? เจฟ : “โดนเรื่องบูลลี่ โดนตั้งแต่เด็กเลยส่วนมากโดนเรื่องนี้แหละ ผมชอบฟีลเจร็อค กรีดตา ทาเล็บ ผมจะเอาปากกาเมจิสีดำมาทาเล็บ เพื่อนจะมีล้อบ้าง สมัยก่อนทำไมเหมือนผู้หญิงจัง บางทีผมกรีดตา คุณแม่เป็นคนกรีดให้ด้วย ก็จะโดนล้อแบบนี้ตลอด เลยกลายเป็นว่าเราไม่ค่อยกล้าแต่งตัวไปโรงเรียน”

คนข้างนอกไม่เข้าใจเรา แล้วแม่เข้าใจเราไหม? เจฟ : “แม่พาผมไปต่อผมด้วย ตอนนั้นจำได้ว่าแม่ชอบซีรีส์เรื่องหนึ่ง คนที่เล่นผมยาว เป็นหนังฟีลกังฟูหน่อย ก็ไปต่อ แล้วมีตัดสั้นตรงคอบ้าง พอเปิดเทอมก็ต้องตัดผม เพราะโรงเรียนมีกฎ แต่คุณแม่จะส่งเสริมการแต่งตัวของเรามาก”

ล่าสุดเห็นว่าชุดโชว์โดนถล่ม มีดราม่า? เจฟ : “ไม่เชิงดราม่าครับ แต่มันเป็นแค่บางคอมเมนต์ มันเป็นปกติอยู่แล้วที่เราเจอคนแบบนี้บอกว่า แต่งตัวแบบนี้เหมือนผู้หญิงเลย เดี๋ยวนี้คนชอบแบบนี้เหรอ มีผู้หญิงสองคน แบบผู้หญิงชอบผู้ชายที่แต่งตัวเป็นผู้หญิงเหรอ เอาจริงผมขำนะ ผมแค่รู้สึกตลกมาก เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว”

พอมีคนมาบูลลี่เราเรื่องแฟชั่นที่เราชอบ สไตล์การแต่งตัวที่เราชอบ อยากบอกอะไรกับคนที่มาคอมเมนต์? เจฟ : “จริงๆ ดีนะ เพราะว่ามันจะทำให้รู้ว่าต่อให้เป็นใครก็ตามบนโลกนี้จะมีคนที่เห็นด้านแย่ของเราเสมอ เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปแคร์ ผมก็จะเป็นเหมือนเดิม แต่งตัวแบบเดิม มันก็จะได้อินสไปร์ด้วยกับคนที่อยากจะแต่งตัว อยากจะทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นอะไร จะแต่งตัวแบบไหนมันก็เรื่องของเรา คือเขาไม่ได้มานั่งอยู่ที่บ้านเรา เขาแค่คอมเมนต์ เพราะเขาสนุกเฉยๆ แต่อย่าให้เขาสนุกมากไป เราสนุกกับการแต่งตัวพอ”

อ่านข่าวเพิ่มได้ที่ : https://www.khaosod.co.th

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

Related News